ยังมีประโยชน์อยู่ โมดริช เตรียมรับสัญญาเพิ่มจากราชันอีก 1 ซีซั่น
โมดริช สื่อดังเมืองกระทิงรายงานว่า เพลย์เมคเกอร์จอมเทคนิคชาวโครเอเชีย เตรียมขยายสัญญากับ “ราชันชุด” เรอัล มาดริดจนถึงปี 2021
ดาวเตะทีมชาติโครเอเชียมีเงื่อนไขในสัญญาระบุว่าหากเขาได้รางวัลบัลลงดอร์มาครองจะได้ขยายสัญญาอัตโนมัตินาน 1 ปี
รายงานเผยว่าการยืดสัญญาจะมีขึ้นอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งฟอร์มการเล่นที่ตกลงในฤดูกาลนี้ทำให้เรื่องการต่อสัญญาใหม่ล่าช้าออกไป
โมดริชจะเป็นนักเตะอีกรายตามหลังโทนี่ โครสที่ฝากอนาคตเอาไว้ในซานติอาโก้ เบร์นาเบวระหว่างที่ซีเนอดีน ซีดานกำลังพยายามยกเครื่องทีมใหม่
ภายหลังมีข่าวว่าอินเตอร์ มิลาน ทีมใหญ่จากอิตาลีรุกเจรจาคว้าตัว กัปตันทีมชาติโครเอเชียไปร่วมทีม จนถึงขั้นบรรลุข้อตกลงแล้ว เหลือเพียงแค่รอไฟเขียวจากต้นสังกัดอย่างเรอัลมาดริด ด้าน ฆูเลน โลเปเตกี ออกมาพูดครั้วหนึ่งแล้วว่า จะอยู่กับทีมต่อ ซึ่งจากรายงานล่าสุดของสื่อในสเปน ระบุว่า มาดริด พยายามอย่างหนักที่จะรั้ง โดยเสนอเพิ่มเงินค่าเหนื่อย จากเดิมที่รับอยู่ 5.8 ล้านปอนด์ต่อปี เป็น 10 ล้านปอนด์ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่อินเตอร์เสนอมาคือ 9 ล้านปอนด์ รวมไปถึงยังเตรียมจะขยายสัญญาเพิ่มจากเดิมที่มีอยู่ถึงปี 2020 ออกไปอีกด้วย แต่ยังไม่มีการเปิดเผยว่ากี่ปี
ทั้งนี้แต่สิ่งที่ มาดริด จะใส่เพิ่มไปในสัญญาฉบับใหม่ของคือค่าฉีกสัญญา มูลค่า 675 ล้านปอนด์ หรือราว 30,000 ล้านบาท โดยฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรจะเป็นคนเจรจากับ ด้วยตัวเองภายในสัปดาห์นี้ โดย กลับมาเข้าแคมป์ลงซ้อมแล้ว ซึ่งได้รับการยืนยันจากสตาฟฟ์ทีมมาดริดว่า เขามีชื่อลงแข่งเกมยูฟ่าซูเปอร์คัพ ที่จะพบกับแอตเลติโก มาดริด วันพุธที่ 15 สิงหาคมนี้
เราเหลือตัวเลือกกันเพียงแค่ 2 ระหว่าง ฝรั่งเศส ทีมเต็งที่ทำตัวได้สมกับความคาดหวัง และ โครเอเชีย ทีมที่ไม่ได้มีใครคาดหวังแต่ทำได้เกินความคาดหวังไปมากเหลือเกิน
ด้วยความแตกต่างของสถานะ และจากสิ่งที่เราได้เห็นตลอดการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ผ่านมา ผมคิดว่าน่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้เป็นแฟนบอลของทั้ง 2 ชาติ แต่อยากจะเอาใจช่วยโครเอเชีย ทีมรองบ่อนขึ้นมาด้วยความประทับใจในเลือดนักสู้ของพวกเขาที่สู้ตายถวายชีวิตมาหลายนัดติด
ตั้งแต่รอบ 16 ทีมและรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ต้องสู้กันจนถึงฎีกากับเดนมาร์กและรัสเซีย เจ้าภาพ และล่าสุดก็ต้องสู้กับอังกฤษจนครบ 120 นาที ก่อนจะเอาชนะได้อย่างหวุดหวิดในเกมรอบรองชนะเลิศ (จนกลายเป็นทีมแรกที่เล่นต่อเวลาพิเศษ 3 นัดติดต่อกันแล้วชนะรวดในฟุตบอลโลก)
ความใจสู้ของพวกเขาชนะใจแฟนบอลทั่วโลกได้โดยไม่ตั้งใจ
แต่ความจริงแล้วความใจสู้ของโครเอเชียไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับพวกเขาครับ เพราะสายเลือดโครแอตนั้นเกิดมาเพื่อเป็นนักสู้โดยธรรมชาติ
หลายคนอาจจะทราบ แต่บางคนอาจจะไม่เคยทราบว่า โครเอเชียเป็นชาติเล็กๆ ที่มีประชากรเพียงแค่ 4 ล้านคนเศษ (ถ้าตามคำพูดของ อีวาน ราคิติช กองกลางคนสำคัญของทีมก็คือ 4.5 ล้านคน) เพิ่งจะมีเอกราชเป็นของตัวเองเมื่อปี 1991 หรือเมื่อ 27 ปีที่แล้ว
แต่กว่าจะมีเอกราชเป็นของตัวเอง พวกเขาต้องเสียเลือดเสียเนื้อในสงครามการประกาศเอกราชอยู่หลายปี กว่าไฟสงครามจะสงบและมีลมหายใจที่เป็นอิสระบนแผ่นดินเกิดของตัวเองนั้นก็กินระยะเวลาหลายปี
ในหมู่นักเตะโครเอเชีย หลายคนเกิดและเติบโตในยุคของสงคราม หนึ่งในนั้นคือ กัปตันทีมในวัย 32 ปีที่เป็นหนึ่งในคนที่มีโชคชะตาชีวิตที่แสนเศร้าในวัยเยาว์ครับ
ไฟสงครามและสนามฟุตบอลกลางลูกระเบิด
เมื่อ 6 ปีก่อนในช่วงที่ ย้ายจากท็อตแนม ฮอตสเปอร์มาอยู่กับเรอัล มาดริดใหม่ๆ มีสถานีโทรทัศน์ของสเปนเดินทางไปโครเอเชียเพื่อค้นหา ‘ต้นกำเนิดของ’ และถ่ายทอดมาในรูปแบบภาพยนตร์สารคดี
ในภาพยนตร์สารคดีเรื่องนั้นมีการบอกเล่าจากทั้งโค้ชของเขาในวันวาน เพื่อนร่วมทีมที่โตมาด้วยกันในทีมเอ็นเค ซาดาร์ เพื่อนๆ ที่ไม่ได้เป็นนักฟุตบอล ครอบครัว ผู้สื่อข่าว
เรื่องเล่าทำให้เราได้รู้เรื่องราวที่แสนเจ็บปวดของกองกลางรูปร่างเล็กคนนี้ครับ
ในวัยเด็กไม่ต่างจากเด็กชาวโครเอเชียคนอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากไฟสงคราม คุณปู่ที่เขารักถูกฆาตกรรมต่อหน้าตั้งแต่อายุแค่ 6 ขวบ บ้านถูกเผา พ่อจำเป็นต้องเข้าร่วมกับกองทัพ ส่วนตัวเขาและครอบครัวต้องอพยพลี้ภัยจากบ้านมาพักอาศัยในโรงแรมแห่งหนึ่งเพื่อรักษาชีวิตให้รอด เสียงที่เขาได้ยินทุกวันไม่ใช่เสียงดนตรี แต่เป็นเสียงระเบิดและเสียงเตือนภัยต่างๆ
ในสภาพแวดล้อมและชีวิตที่โหดร้าย ฟุตบอลคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเจ้าหนูลูกาในวันนั้น ทุกๆ วันหากไม่มีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น เขาจะออกไปเตะฟุตบอลเล่นเสมอ ที่ลานจอดรถของโรงแรมบ้าง บางครั้งก็เตะที่ระเบียงในห้องพักบ้าง เตะคนเดียวบ้าง เตะกับเพื่อนบ้าง

สมัครสมาชิกวันนี้ รับเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท Add friend ที่ ไลน์แอด ให้เป็น @vegusGold (อย่าลืมใส่@ข้างหน้า)